Search
Close this search box.

ประวัติ มาร์ค Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook เจ้าพ่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค

 Mark Zuckerberg หากจะพูดถึงประวัตินักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ที่พลิกโฉมวงการนักธุรกิจด้วยความมั่งคั่งร่ำรวยและอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา แถมยังเป็นธุรกิจออนไลน์อย่าง Facebook ที่เป็นเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย ที่มีคนใช้งาน ณ ปัจจุบันมากกว่า 2 พันล้านคน ก็คงหนีไม่พ้น Mark Zuckerberg หากไล่รายชื่อจากอันดับของมหาเศรษฐีทั่วโลก Elon Musk

ที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเองแล้วล่ะก็ Mark Zuckerberg เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีอายุน้อยที่สุดใน Top 100 อันดับแรกที่จัดอันดับโดย นิตยสาร Forbes ซึ่งมีอายุเพียง 30 ต้น ๆ เท่านั้น ในขณะที่มหาเศรษฐีคนอื่น ๆ นั้นก็เลยหลักสี่เข้าแทบทั้งสิ้น บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

Mark Elliot Zuckerberg หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Mark Zuckerberg

 Mark Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1984 ที่เมือง Dobbs Ferry, New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรของ Edward และ Karen Zuckerberg โดยทั้งพ่อและแม่ของเขานั้นมีเชื้อสายยิวทั้งคู่ ซึ่งประกอบอาชีพเป็นหมอฟันและนักจิตวิทยา ทำให้ในวัยเด็กของเขานั้นเป็นครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างอยู่สุขสบายตามสไตล์ลูกคุณหมอ

โดยปกติแล้ว มาร์คนั้น มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่ออายุได้เพียงสิบขวบต้น ๆ ช่วงประถมปลายเขาก็สามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้แล้ว โดยมาร์คได้เริ่มใช้ทักษะการเขียนโปรแกรมนี้ให้คุณพ่อของเขาไปใช้ในคลินิกทันตกรรม โดยสร้างโปรแกรมแชทขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า ZuckNet ทำให้พนักงานภายในคลีนิค สามารถสื่อสารกันเองแทนการตะโกนบอกกัน และในช่วงมัธยมต้นเขาก็สามารถเขียนเกมขึ้นมาเล่นเองได้อีกด้วย Elon Musk

ในช่วงมัธยมนี้นี่เองที่มาร์คกับเพื่อนร่วมห้องของเขา ได้เขียนโปรแกรมที่ชื่อว่า Synapse ซึ่งสามารถระบุความชอบของแต่ละคนเพื่อเลือกเพลงที่น่าจะเหมาะกับแต่ละคนได้ มันสามารถทำงานได้ดีจนถึงขนาดที่บริษัทอย่าง Winamp, Microsoft และบริษัทอื่น ๆ อีกมากมาย เข้ามาเสนอเงินก้อนโตให้เป็นจำนวนเงินกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ กว่า 60 ล้านบาท ซึ่งด้วยความที่เป็นเด็กและอินดี้พอตัว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ขายมัน จนกระทั่งพวกเขาเปลี่ยนใจที่จะขายมันในที่สุด แต่ก็พบว่า บริษัทเหล่านั้น ไม่ได้สนใจตัวซอร์ฟแวร์ของพวกเขาแล้ว (แห้วแดกเลยซะงั้น) บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

และหลังจากที่มาร์คเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว เข้าก็ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Havard University) ในปี 2002 ในสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาได้เริ่มพัฒนาการเขียนโปรแกรมที่ชื่อว่า CourseMatch เป็นโปรแกรมที่เกี่ยวกับการช่วยเสนอวิชาเรียนที่เหมาะสมกับนักศึกษา บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ก็ถูกทางมหาวิทยาลัยปฏิเสธเนื่องมาจากเป็นเรื่องยากที่จะรวมข้อมูลของนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยไว้ในที่เดียวกัน

แต่มาร์คก็ยังไม่ถอดใจ จนกระทั่งได้เขียนโปรแกรมใหม่โดยแอบดึงข้อมูลนักศึกษามาจากส่วนกลางของมหาวิทยาลัยแล้วปล่อยลงในเว็บไซต์ที่ชื่อ FaceMash.com โดยให้นักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดช่วยกันโหวตรูปสาว ๆ ในมหา’ลัย ว่าชอบใครมากกว่ากัน โดยมีสองรูปให้เลือก ซึ่งหลังจากเปิดเว็บไซต์ไปเพียง 4 ชั่วโมง ก็มีนักศึกษาฮาร์วาร์ดแห่เข้ามาใช้งานอย่างล้นหลามจนทำให้เซิร์ฟเวอร์ของมหา’ลัย ล่มในที่สุด ทำให้คณะกรรมการของมหา’ลัย สั่งปิดเว็บไซต์ FaceMash.com ลง ซึ่งทำให้มาร์คนั้น ถูกคณะกรรมการของมหา’ลัย ทำทัณฑ์บนเอาไว้ เนื่องจากเขาได้เจาะเข้าระบบรักษาความปลอดภัยของมหา’ลัย

แต่มาร์คก็ยังมองในแง่ดีว่า “อย่างน้อยผมก็รู้จุดบกพร่องของระบบรักษาความปลอดภัยนะ ว่ามันไม่ปลอดภัย” และเขาเชื่อว่า แทนที่จะเก็บงำข้อมูลไว้ในแฟ้มลับเอาไว้ดูคนเดียว มันควรจะเป็นการแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกันมากกว่า Elon Musk

ซึ่งแม้ว่าเขาจะถูกทางมหา’ลัย ทำทัณฑ์บนเอาไว้ แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกในการพยายามที่จะเก็บข้อมูลของนักศึกษาลงบนโลกออนไลน์ เขาจึงเขียนเว็บขึ้นมา แล้วให้นักศึกษาฮาร์วาร์ดลงทะเบียนเพื่อกรอกประวัติและข้อมูลส่วนตัวลงไป โดยเปิดตัวเว็บไซต์ครั้งแรกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 2004 ที่มีชื่อว่า “TheFacebook.com” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Facebook.com

โดยเว็บที่ว่านี้นั้นมีเพื่อน ๆ ในมหา’ลัยของเขา เข้ามาช่วยกันสร้างมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Eduardo Saverin, Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes

ซึ่งหลังจากที่เปิดตัว ก็มีนักศึกษาฮาร์วาร์ดเข้ามาลงทะเบียนใช้งานกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด มาร์คจึงตัดสินใจที่จะขยายไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ จนกระทั่งสามารถเข้าถึงมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง โดยในระหว่างนี้ Facebook อยู่ได้โดยเงินจากแบนเนอร์โฆษณาจากการจัดงานของนักศึกษา ราว ๆ เฉลี่ยเดือนละ 2,000 – 3,000 เหรียญฯ (หรือประมาณ 60,000 – 90,000 บาท) บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

” จนกระทั่ง Mark Zuckerberg ได้มีโอกาสพบกับ Sean Parker “

ผู้ซึ่งเห็นศักยภาพในการเติบโตของ Facebook ที่จากเพียงเป็นแค่โปรเจคในระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยให้ก้าวไกลไปสู่โซเชียลมีเดียระดับโลก(ซึ่ง Sean Parker ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นประธานบริหารคนแรกของ Facebook อีกด้วย) บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

เขาได้นำพาให้มาร์คไปพบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO ของระบบรับชำระเงินออนไลน์ระดับโลกอย่าง Paypal ที่ถูกขายไปให้กับ eBay เป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งได้กลายมาเป็นนักลงทุนรายแรกของ Facebook ด้วยเงินจำนวน 500,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (หรือราว ๆ กว่า 16 ล้านบาท) ในปี 2004 เพื่อแลกกับการเป็นหุ้นส่วนเพียงเล็ก(ประมาณ 7%) โดย Facebook ยังอยู่ในการควบคุมของ Mark อย่างเต็มที่ และสำหรับ Sean Parker ก็ได้รับหุ้นส่วนเป็นจำนวน 6.47% สำหรับการดีลในครั้งนี้อีกด้วย

เงินทุนก้อนนี้ส่งผลให้ Facebook สามารถพัฒนาและเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก จนครบ 1 ล้านคน เมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2004 (ใช้เวลาเพียง 9 เดือนนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มก่อตั้งเว็บไซต์) และ Peter Theil ก็ได้พามาร์คไปเซ็นต์สัญญาจับมือกับ Accel Partners และได้เงินลงทุนมาเพิ่มอีก 12.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ กว่า 300 ล้านบาท) จนกระทั่งในวันสิ้นปีของปี 2005 ก็มีผู้ใช้งาน Facebook เป็นจำนวน 5 ล้านคน (และในปี 2017 ที่ผ่านมา ก็มีบัญชีผู้ใช้งานทั่วโลกที่แอคทีฟอยู่รวมแล้วกว่า 2.13 พันล้านคน) Elon Musk

แถม Facebook ยังเนื้อหอม ถึงขนาดที่ Yahoo! เสนอดีลที่จะซื้อ Facebook ในราคา 1,000 ล้านดอลล่าร์ฯ (หรือราว ๆ กว่า 3 หมื่นล้านบาท) แต่ Mark ก็ได้ปฏิเสธเงินก้อนนี้ไป เพราะเขาคิดว่า Facebook ยังมีอะไรให้พัฒนาและมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกมากมาย

และ Microsoft เองก็เคยเสนอเงินซื้อกิจการ Facebook จำนวน 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ กว่า 4 แสนล้านบาท แต่ Mark ก็ปฏิเสธไปอีกเช่นกันMark Zuckerberg ได้นำ Facebook เข้า IPO ในตลาดหุ้น Nasdaq เมื่อวันที่ 18 พฤษาคม ปี 2012 ซึ่งกลายเป็นการระดมทุนที่สูงที่สุดนับเป็นประวัติกาลที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ โดยสามารถระดมทุนได้ถึง 16,000 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ กว่า 5 แสนล้านบาท

ผ่านมาถึงปัจจุบัน โมเดลรายได้หลักของ Facebook ยังคงเป็นการทำเงินจากการเก็บค่าโฆษณา โดยรายได้รวมของ Facebook ปี 2017 อยู่ที่ประมาณ 40,654 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับวันแรกที่เข้าตลาดหุ้นในปี 2012 นั้น Facebook เติบโตกว่า 699% เลยทีเดียว บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

บทความแนะนำ